วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556

มารยาทไทย

มารยาทไทยกับเด็กนักเรียนสมัยปัจจุบัน


ทุกวันนี้คุณครูเคยสังเกตบ้างหรือเปล่าครับว่า เด็กนักเรียนของเรานั้น นับวันยิ่งไม่รู้จักการไหว้ หรือ ยกมือทักทาย และเอ่ยปากว่า "สวัสดีครับคุณครู หรือ สวัสดีครับ / ค่ะ" มันเป็นเพราะอะไรกันหล๊ะครับ ผมคิดว่าอาจจะเป็นเพราะดังต่อไปนี้
๑. เด็กได้รับการอบรมเรื่องมารยาทไทย ไม่เพียงพอ
๒. เด็กอยู่ในสังคม และสภาพแวดล้อม ที่ก้าวร้าว
๓. คุณครู ประพฤติตัวไม่เหมาะสม ให้เด็กกราบไหว้
๔. เด็กรับวัฒนธรรมต่างชาติ หรือ เอาวัฒนธรรมทางทีวีมาใช้ โดยไม่กลั่นกรอง
๕. ผู้ปกครอง และ สถานศึกษา ไม่ให้ความสำคัญเท่าที่ควร
หรือว่า ท่านอื่นๆ จะให้ความเห็นว่าอย่าง มารยาทอย่างไทย เป็นกริยาอันงดงาม ซึ่งในปัจจุบันนี้ดูเหมือนเด็กไทยเราค่อนข้างจะอ่อนเรื่องนี้ไปสักหน่อย ดังนั้นการปลูกฝังให้ลูกรักเป็นเด็กมีมารยาท ควรเริ่มจากครอบครัวเป็นอันดับแรก




มรรยาทพื้นฐานที่คุณพ่อคุณแม่ควรสอนลูกมีดังนี้

1. ความสุภาพ เด็กๆเรียนรู้สิ่งนี้โดยการทำเป็นตัวอย่างให้ดู เมื่อเด็กๆเห็นคุณพ่อคุณแม่สุภาพกับผู้อื่น คำพูดที่สุภาพที่คุณพ่อคุณแม่ใช้กับลูก ไม่ว่าจะเป็นคำ “ขอบคุณ” “ ขอโทษ” ล้วนแล้วแต่เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดที่ลูกจะทำตาม หากเราสอนสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ จะทำให้ลูกปฏิบัติตามได้ง่ายขึ้น ดังนั้นหากเราคาดหวังให้ลูกมีมรรยาทที่ดี เราต้องทำตัวเป็นแบบก่อน

2. การรอคอย หมายถึงการไม่ขัดจังหวะและไม่พูดแซงในขณะที่ผู้อื่นยังพูดอยู่ คุณพ่อคุณแม่ควรสอนลูกให้รู้จักการรอคอยผู้อื่น เช่นรอให้เขาพูดจบเสียก่อน ตัวเองจึงค่อยพูด รอเข้าคิวเวลาเข้าห้องน้ำโดยไม่แซงคนอื่น

3. ไม่ล้อเลียนคนอื่นหรือตั้งฉายาให้คนอื่น แม้ว่าบางครั้งอาจเป็นฉายาตลกๆ เพราะอาจทำให้เกิดการเจ็บปวดภายในจิตใจกับคนอื่นได้ เช่น ยัยหมูอ้วน ไอ้ตัวเหม็น เป็นต้น

4. ไปลา มาไหว้ สวัสดี ทักทาย แขกที่มาเยี่ยมที่บ้านทุกครั้ง สอนมรรยาทการเคารพผู้ใหญ่ คนเฒ่า คนแก่ การกล่าวคำสวัสดีกับเด็กในวัยเดียวกันหรือเด็กที่อายุน้อยกว่า การกระทำเหล่านี้เป็นการปลูกฝังให้ลูกเป็นคนสุภาพเรียบร้อย รุ้จักการวางตัวอย่างถูกต้องตามกาลเทศะ

5. เก็บของให้เรียบร้อยหลังทำกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นการเล่นของเล่นที่บ้าน หรือไปเล่นที่บ้านเพื่อนก็ตาม ต้องเก็บของให้เรียบร้อยทุกครั้งหลังทำกิจกรรมให้เสร็จเป็นอย่างๆ อย่าเริ่มกิจกรรมใหม่หากกิจกรรมเดิมยังไม่ได้เก็บให้เรียบร้อย

6. ให้ลูกรู้จักการแพ้ ชนะมีน้ำใจนักกีฬา หลังการเล่นเกมหรือกีฬาทุกครั้ง ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็ตาม ให้ลูกเป็นคนที่มีมรรยาทและมีน้ำใจนักกีฬา เช่นหากเด็กๆชนะ อย่าให้เด็กทำท่าเยาะเย้ยเพื่อนที่แพ้ แต่ให้แสดงความมีน้ำใจ แต่หากแพ้ก็ให้มีน้ำใจนักกีฬาไม่ตีโพยตีพาย โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง หรือทำตัวเป็นพาลเกเร

7. สอนการเปิดปิดประตู ให้ผู้ใหญ่เดินเข้าก่อน ไม่ปิดประตูใส่หน้าผู้อื่น หรือรีบแซงวิ่งเข้าไปก่อน หากมีคนเปิดประตูให้ ให้กล่าวคำขอบคุณ เป็นต้น

8. สอนการเดินเข้าออกลิฟท์ ให้คนข้างในออกมาก่อนที่ตัวเองจะเดินเข้าไป เช่นเดียวกับการเดินเข้าออกอาคาร ให้คนข้างในเดินออกก่อน ตัวเองจึงจะเดินเข้าไป

9. สอนให้ลูกรู้ว่าทุกคนเป็นคนพิเศษ ไม่ว่าคนคนนั้นจะมีความแตกต่างกับเรา หรือ ครอบครัวของเรามาก อาจเป็นเพราะความแตกต่างด้านวัฒนธรรม ศาสนา หรือเชื้อชาติ แต่ทุกคนเป็นคนพิเศษ สอนให้ลูกรู้จักให้เกียรติคนทุกคน

10. สอนมรรยาทการรับประทานอาหาร การใช้ช้อนส้อมที่ถูกวิธี การไม่พูดคุยระหว่างรับประทานอาหาร การไม่รับประทานอาหารมูมมาม การไม่เคี้ยวอาหารเสียงดัง การรู้จักการใช้ช้อนกลาง เป็นต้นไรครับ

วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ภาษาไทยน่ารู้

วันภาษาไทยแห่งชาติ 2556
วันที่ 29 กรกฎาคมของทุกปี
ประเทศไทยได้กำหนดให้เป็น "วันภาษาไทยแห่งชาติ"
 
 
วันภาษาไทยแห่งชาติ 2556 ประวัติ ความสำคัญของวันภาษาไทยแห่งชาติ  

   ธงชาติ และ ภาษา คือสิ่งที่บ่งบอกความเป็นไทย
        วันภาษาไทยแห่งชาติ วันที่ 29 กรกฎาคมของทุกปี คือ วันที่รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในด้านภาษาไทย และเพื่อกระตุ้น ให้ชาวไทยทั้งชาติได้ตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของภาษาไทย และร่วมใจกันใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องเพื่ออนุรักษ์ภาษาไทยให้เป็นเอกลักษณ์อยู่คู่ชาติไทยต่อไป

วันภาษาไทยแห่งชาติ 2556

ความเป็นมาของวันภาษาไทยแห่งชาติ

       สืบเนื่องจากเมื่อ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานและทรงอภิปรายเรื่อง “ ปัญหาการใช้คำไทย ” ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิในการประชุมทางวิชาการของชุมนุมภาษาไทย คณะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสตอนหนึ่งความว่าณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งทรงแสดงพระปรีชาสามารถและความสนพระราชหฤทัยห่วงใยในภาษาไทย จนเป็นที่ประทับใจผู้ร่วมประชุมครั้งนั้นเป็นอย่างยิ่ง   

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสตอนหนึ่งความว่า...


        “...เรามีโชคดีที่มีภาษาของตนเองแต่โบราณกาล จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะรักษาไว้ ควรจะใช้คำเก่าๆ ที่เรามีอยู่แล้ว ไม่ควรจะมาตั้งศัพท์ใหม่ให้ยุ่งยาก…”
ปัญหาเฉพาะในด้านรักษาภาษาก็มีหลายประการ อย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในทางออกเสียง
คือให้ออกเสียงให้ถูกต้องชัดเจน อีกอย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในวิธีใช้
หมายความว่าวิธีใช้คำมาประกอบประโยค
นับเป็นปัญหาที่สำคัญ ปัญหาที่สามคือความร่ำรวยในคำของภาษาไทย
ซึ่งพวกเรานึกว่าไม่ร่ำรวยพอ จึงต้องมีการบัญญัติศัพท์ใหม่มาใช้
… สำหรับคำใหม่ที่ตั้งขึ้นมีความจำเป็นในทางวิชาการไม่น้อย แต่บางคำที่ง่ายๆ ก็ควรจะมี
 
 ภาษาไทย
วันภาษาไทยแห่งชาติ 2556
       รัฐบาลจึงได้ประกาศให้วันดังกล่าวเป็นวันสำคัญ ตั้งแต่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 เป็นต้นมา
 
 
        ภาษาไทยเป็นภาษาที่ เก่าเเก่ที่สุดในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีรากฐานมาจากออสโตรไทย ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับภาษาจีน มีหลายคำที่ขอยืมมาจากภาษาจีน

       พ่อขุนรามคำเเหงได้ประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเมื่อปี พศ 1826 (คศ1283) มี พยัญชนะ 44 ตัว (21 เสียง), สระ 21 รูป (32 เสียง), วรรณยุกต์ 5 เสียง คือ เสียง สามัญ เอก โท ตรี จัตวา ภาษาไทยดัดเเปลงมาจากบาลี เเละ สันสกฤต

       คนไทยเป็นผู้ที่โชคดีที่มีภาษาของตนเอง เเละมีอักษรไทย เป็นตัวอักษร ประจำชาติ อันเป็นมรดกล้ำค่าที่บรรพบุรุษได้สร้างไว้ ซึ่งเป็นเครื่องเเสดงว่าไทยเราเป็นชาติที่มีวัฒนธรรมสูงส่งมาเเต่โบราณกาล เเละยั่งยืนมาจนปัจจุบัน คนไทยผู้เป็นเจ้าของภาษา ควรภาคภูมิใจที่ชาติไทยใช้ภาษาไทย เป็นภาษาประจำชาติมากว่า 700 ปีเเล้ว เเละจะยั่งยืนตลอดไป ถ้าทุกคนตระหนักในความสำคัญของภาษาไทย

ความสำคัญของภาษาไทย

        ภาษาเป็นวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติ ภาษาเป็นสื่อใช้ติดต่อกันเเละทำให้วัฒนธรรมอื่นๆเจริญขึ้น เเต่ละภาษามีระเบียบของตนเเล้วเเต่จะตกลงกันในหมู่ชนชาตินั้น ภาษาจึงเป็นศูนย์กลางยืดคนทั้งชาติ ดังข้อความ ตอนหนึ่งในพระราชนิพนธ์ในพระบาท สมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง "ความเป็นชาติโดยเเท้จริง" ว่า ภาษาเป็นเครื่องผูกพันมนุษย์ต่อมนุษย์เเน่นเเฟ้นกว่าสิ่งอื่น เเละไม่มีสิ่งใด ที่จะทำให้คนรู้สึกเป็นพวกเดียวกันหรือเเน่นอนยิ่งไปกว่าภาษาเดียวกัน รัฐบาลทั้งปวงย่อมรู้สึกในข้อนี้อยู่ดี เพราะฉะนั้น รัฐบาลใดที่ต้องปกครองคนต่างชาติต่างภาษา จึงต้องพยายามตั้งโรงเรียนเเละออกบัญญัติบังคับ ให้ชนต่างภาษาเรียนภาษาของผู้ปกครอง เเต่ความคิดเห็นเช่นนี้ จะสำเร็จตามปรารถนาของรัฐบาลเสมอก็หามิได้ เเต่ถ้ายังจัดการเเปลง ภาษาไม่สำเร็จอยู่ตราบใด ก็เเปลว่า ผู้พูดภาษากับผู้ปกครองนั้นยังไม่เชื่ออยู่ตราบนั้น เเละยังจะเรียกว่าเป็นชาติเดียวกันกับมหาชนพื้นเมืองไม่ได้ อยู่ตราบนั้น ภาษาเป็นสิ่งซึ่งฝังอยู่ในใจมนุษย์เเน่นเเฟ้นยิ่งกว่าสิ่งอื่น"

        ดังนั้นภาษาก็เปรียบได้กับรั้วของชาติ ถ้าชนชาติใดรักษาภาษาของตนไว้ได้ดี ให้บริสุทธิ์ ก็จะได้ชื่อว่า รักษาความเป็นชาติ

        คนไทยทุกคนใช้ภาษาไทยเป็นสื่อความรู้สึกนึกคิดเท่านั้นยังไม่เพียงพอ ควรจะรักษาระเบียบความงดงามของภาษา ซึ่งเเสดงวัฒนธรรม เเละ เอกลักษณ์ประจำชาติไว้อีกด้วย ดัง พระราชดำรัส สมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ตอนหนึ่งว่า
 
        "ภาษานอกจากจะเป็นเครื่องสื่อสารเเสดงความ รู้สึกนึกคิดของคนทั่วโลก เเล้ว ยังเป็นเครื่องเเสดงให้เห็นวัฒนธรรม อารยธรรม เเละเอกลักษณ์ ประจำชาติอีกด้วย ไทยเป็นประเทศซึ่งมีขนบประเพณี ศิลปกรรมเเละภาษา ซึ่งเจริญรุ่งเรืองมาแต่อดีตกาล เราผู้เป็นอนุชนจึงควรภูมิใจ ช่วยกัน ผดุงรักษามรดกทางวัฒนธรรมอันเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่บรรพบุรุษได้ อุตส่าห์สร้่างสรรค์ขึ้นไว้ให้เจริญสืบไป "

วันภาษาไทยแห่งชาติ 2556


วัตถุประสงค์ของวันภาษาไทยแห่งชาติ มีดังนี้


        1. เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงเป็นนักปราชญ์ และนักภาษาไทย รวมทั้งเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ได้ทรงแสดงความห่วงใย และพระราชทานแนวคิดต่างๆ เกี่ยวกับการใช้ภาษาไทย 
        2. เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในมหามงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ ในวันที่ 5 ธันวาคม 2542
       3. เพื่อกระตุ้นและปลุกจิตสำนึกของคนไทยทั้งชาติให้ตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของภาษาไทย ตลอดจนร่วมมือร่วมใจกันทำนุบำรุงส่งเสริม และอนุรักษ์ภาษาไทย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์และเป็นสมบัติวัฒนธรรมอันล้ำค่าของชาติให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป
       4. เพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการใช้ภาษาไทย ทั้งในวงวิชาการและวิชาชีพ รวมทั้งเพื่อยกมาตรฐานการเรียนการสอนภาษาไทยในสถานศึกษาทุกระดับให้สัมฤทธิผลยิ่งขึ้น

        5. เพื่อเปิดโอกาสให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐบาลและเอกชนทั่วประเทศมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อเผยแพร่ความรู้ภาษาไทยในรูปแบบต่างๆ ไปสู่สาธารณชนทั้งในฐานะที่เป็นภาษาประจำชาติ และในฐานะที่เป็นภาษาเพื่อการสื่อสารของทุกคนในชาติ

ซึ่งพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในครั้งนั้น มีใจความว่า....
 

“...ในปัจจุบันนี้ปรากฏว่า ได้มีการใช้คำออกจะฟุ่มเฟือย และไม่ตรงกับความหมายอันแท้จริงอยู่เนืองๆ ทั้งออกเสียงก็ไม่ถูกต้องตามอักขรวิธี ถ้าปล่อยให้เป็นไปดังนี้ ภาษาของเราก็มีแต่จะทรุดโทรม ชาติไทยเรามีภาษาของเราใช้เองเป็นสิ่งอันประเสริฐอยู่แล้ว เป็นมรดกอันมีค่าตกทอดมาถึงเราทุกคนจึงมีหน้าที่จะต้องรักษาไว้
          
พระราชนิพนธ์  
พระราชนิพนธ์เรื่อง ติโต นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ และพระมหาชนก
     ฉะนั้นจึงขอให้บรรดานิสิตและบัณฑิต ตลอดจนครูบาอาจารย์ได้ช่วยกันรักษาและส่งเสริมภาษาไทย ซึ่งเป็นอุปกรณ์และหลักประกันเพื่อความเจริญวัฒนาของประเทศชาติ...” นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังมีพระปรีชาญาณและพระอัจฉริยะภาพในการใช้ภาษาไทย ทรงรอบรู้ปราดเปรื่องถึงรากศัพท์ของคำไทย คือ ภาษาบาลีและสันสกฤต ทรงพระอุตสาหะวิริยะแปลและเรียบเรียงวรรณกรรมภาษาต่างประเทศเป็นภาษาไทยที่ สมบูรณ์ด้วยลักษณะวรรณศิลป์ มีเนื้อหาสาระที่มีคุณค่า เป็นคติในการเสียสละเพื่อส่วนรวม และเป็นแบบอย่างแก่ประชาชนในการใช้ภาษาไทย ดังจะเห็นได้จากพระราชนิพนธ์แปลเรื่องนายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ ติโต พระราชนิพนธ์แปลบทความเรื่องสั้นๆ หลายบท และพระราชนิพนธ์เรื่อง พระมหาชนก เป็นต้น

วันภาษาไทยแห่งชาติ 2556

กลอนภาษาไทย

คุณค่าภาษาไทย

เป็นคนไทยต้องรักภาษาไทย
รักษาไว้ให้อยู่ได้เนานานหนอ
อย่าทำร้ายลายลักษณ์ที่ถักทอ
ที่แม่พ่ออนุรักษ์ตระหนักคุณ

ภาษาไทยนั้นเป็นภาษาชาติ
อย่าประมาทใช้ผิดให้เคืองขุ่น
ครูท่านสอนสั่งไว้เลยนะคุณ
ความว้าวุ่นแห่งภาษาจะมากมี

ถ้าเมื่อใดไร้ภาษาที่มีอยู่
คงอดสูอายเขาไปทุกที่
และอาจสิ้นชาติไทยไปด้วยซี
เพราะวิถีชีวีที่เปลี่ยนไป

ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีค่า
มากยิ่งกว่านพรัตน์เป็นไหน ไหน
มวลหมู่แก้วถึงมีค่ากว่าสิ่งใด
คงมีได้แค่เพียงค่าราคาเงิน

แต่คุณค่าของภาษามีสูงส่ง
ช่วยดำรงความเป็นชาติไม่ขัดเขิน
เพราะภาษาแสดงลักษณ์จำหลักเกิน
กว่าค่าเงินตรา...แต่สง่าอยู่ที่ใจ

เป็นคนไทยต้องรักภาษาไทย
รักษาให้อยู่นานนานจะได้ไหม
อย่าทำลายภาพลักษณ์ความเป็นไทย
โดยที่ไม่รู้ค่าภาษาเอย ฯ

แต่งโดย :  อรุโณทัย  ประพันธ์ 

กลอนภาษาไทย

ภาษาไทยสวยงาม

ภาษาไทยงดงามด้วยน้ำเสียง
ถ้อยเรียบเรียงหวานหูไม่รู้หาย
สื่อความคิดสื่อความรู้สื่อแทนกาย
สื่อความหมายด้วยภาษาน่าชื่นชม

เกิดเป็นไทยภาษาไทยเขียนให้คล่อง
กฎเกณฑ์ต้องรู้ใช้ให้เหมาะสม
จะพูดจาน่าฟังทั้งนิยม
เจ้าคารมเขาจะหมิ่นจนสิ้นอาย

ภาษาพูดสนทนาพูดจาทัก
เป็นสื่อรักสื่อสัมพันธ์ความมั่นหมาย
แม้นพูดดีมีคนรักมักสบาย
แต่พูดร้ายส่อเสียดคนเกลียดกัน

วัฒนธรรมล้ำค่าภาษาสวย
ทุกคนช่วยออกเสียง “ร” ขอสร้างสรรค์
แม้นออกเสียง เป็น “ล” เขาล้อกัน
คนจะหยันชาติเราไม่เข้าที

สระ “เอือ เป็น “เอีย” ฟังเพลียนัก
บอกที่รัก ช่วยซื้อ “เกีย”..ที่ร้านนี่
ขอ “ซมเซย” จะเชยแท้ แม้พาที
วอนน้องพี่ต้องช่วยกันจรรโลงไทย

ผมได้เลิกแต่งงานในวันนี้
เป็นเลิกดีเลิกงามยามสดใส
ออกเสียงฤกษ์ เป็นเลิก ครั้งคราใด
คงทำให้สื่อสารผิด..คิดเสียดาย

ภาษาไทยงดงามด้วยความคิด
แม้นอ่านผิดก็เขียนผิด..คงเสียหาย
เขียนอ่านไทยให้ถูกด้วยช่วยผ่อนคลาย
สื่อทั้งหลาย..ต้องช่วยกัน..นั้นอีกแรง..

โดย : ครูพิม  ประพันธ์

ใช้ภาษาให้ถูกต้องกันนะครับ
"คนรุ่นใหม่ ใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง"